ผู้ก่อตั้ง

นิสชิน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสำหรับทุกคน

ผู้ก่อตั้งของเรา

EP:1⠀⠀อันโด โมโมฟูกุ ชายหนุ่มผู้เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณนักสร้างธุรกิจ

อันโดในช่วงปี 1930 เมื่อเขาเปิดธุรกิจต่อเนื่องหลายแห่ง

อันโด โมโมฟูกุ ผู้ก่อตั้งบริษัทนิสชินฟูดส์ (NISSIN FOODS) เกิดเมื่อปี 1910 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ดาวหางฮัลเลย์โคจรเข้าใกล้โลก อันโด สูญเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ช่วงวัยเด็ก และได้รับการเลี้ยงดูจากปู่และย่าที่เปิดร้านขายผ้ากิโมโน ซึ่งทำให้เขาได้เรียนรู้ธุรกิจจากการเฝ้าสังเกตกิจการอย่างใกล้ชิด อันโด เป็นผู้ที่เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณแห่งอิสรภาพและแรงขับเคลื่อนในการทำธุรกิจอย่างแรงกล้า เขาปรารถนาที่จะบุกเบิกสิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน อาชีพแรกที่เขาเลือกทำคือธุรกิจสิ่งทอ และในวัยเพียงยี่สิบสองปี เขาก็ได้ก่อตั้งบริษัทที่จำหน่ายสินค้าสิ่งทอและประสบความสำเร็จอย่างมาก อันโด ได้มีส่วนร่วมในธุรกิจหลากหลายประเภท เช่น การผลิตเครื่องฉายภาพสไลด์ การผลิตถ่าน การสร้างบ้านพักค่ายทหาร การผลิตเกลือ และการก่อตั้งโรงเรียน ด้วยจิตวิญญาณของความเป็นผู้สร้างธุรกิจอันโดดเด่นของ อันโด จึงมีความสามารถในการเข้าใจกระแสที่เกิดขึ้นใหม่ได้ทันเหตุการณ์ และนำไอเดียที่ได้มาใช้ในการทำธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว ช่วงเวลานี้เองที่ทำให้เขาเกิดพลังชีวิตในการมุ่งมั่นและเอาชนะความล้มเหลว เขาทำธุรกิจทั้งหมดนี้ โดยยึดมั่นอย่างแน่วแน่ว่าควรแสวงหาการงานที่จะช่วยให้ชีวิตของผู้คนดีขึ้น

หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศญี่ปุ่นต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง ตามท้องถนนเต็มไปด้วยผู้คนที่หิวโหย และมีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ต้องล้มตายจากภาวะขาดสารอาหาร อันโด ซึ่งพบเห็นเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวนี้ ได้ตระหนักถึงความสำคัญอย่างยิ่งของอาหาร เขาตระหนักว่าในยามที่ขาดอาหารแล้ว แม้เสื้อผ้าหรือที่พักอาศัยก็ไร้ประโยชน์ และศิลปะหรือวัฒนธรรมก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้

วันหนึ่ง ขณะที่ อันโด เดินผ่านย่านตลาดมืดใกล้สถานีโอซาก้า เขาเห็นผู้คนต่อแถวยาวเหยียดที่แผงลอยชั่วคราวเพื่อรอรับราเม็งท่ามกลางอากาศหนาวเย็น ภาพนั้นทำให้ อันโด นึกถึงความชื่นชอบของชาวญี่ปุ่นที่มีต่อเส้นบะหมี่ และในขณะเดียวกันก็ทำให้เขาเชื่อว่าคิวที่ต่อกันยาวนั้นเป็นสัญญาณของความต้องการที่ซ่อนอยู่มากมาย ในช่วงเวลานั้น รัฐบาลญี่ปุ่นสนับสนุนให้ผู้คนบริโภคอาหารที่ทำจากข้าวสาลีส่วนเกินที่รับได้จากสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม อาหารเหล่านี้ประกอบด้วยขนมปังหรือบิสกิตแทบทั้งหมด ทำให้ อันโด ตั้งคำถามว่าทำไมรัฐบาลถึงไม่ส่งเสริมให้บริโภคบะหมี่ ซึ่งเป็นอาหารที่ถูกปากชาวญี่ปุ่น และสามารถทำจากข้าวสาลีชนิดเดียวกันได้

อันโดในตำแหน่งกรรมการของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน

ในปี 1957 สหกรณ์ที่อันโดทำงานในตำแหน่งกรรมการได้ล้มละลาย อันโด สูญเสียทรัพย์สินทั้งหมด ยกเว้นบ้านเช่าในเมืองอิเกดะ จังหวัดโอซาก้า กระนั้น อันโด ได้ปลอบใจตัวเองด้วยความคิดว่าทั้งหมดที่เขาเสียไปเป็นเพียงแค่ทรัพย์สมบัติเท่านั้น และประสบการณ์ความล้มเหลวก็ทำให้เขาเข้มแข็งขึ้น หลังจากนั้น เมื่อนึกได้ถึงภาพผู้คนต่อแถวยาวที่แผงขายราเม็งในตลาดมืด และความจริงที่ราเม็งคืออาหารโปรดที่ชาวญี่ปุ่นชื่นชอบ เขาจึงตัดสินใจที่จะสร้าง “ราเม็งที่สามารถปรุงและรับประทานได้ทันทีที่บ้านโดยใช้เพียงน้ำร้อนเท่านั้น” และนี่คือก้าวแรกของ อันโด สู่การเปลี่ยนความคิดที่เขาบ่มเพาะมานานให้กลายเป็นความจริง เพื่อหลุดพ้นจากชีวิตอันยากจน
โรงเก็บของที่สร้างขึ้นในสวนหลังบ้านของอันโด (จำลอง)

ในโรงเก็บของที่เขาสร้างไว้หลังบ้าน อันโด เริ่มค้นคว้าเรื่อง “ราเม็งที่สามารถปรุงและรับประทานได้ทันทีที่บ้านโดยใช้เพียงน้ำร้อน” เขาได้ประกอบอุปกรณ์และวัสดุทั้งหมดที่ใช้สำหรับแผนงานนี้ด้วยตนเอง และทำการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพียงลำพังตลอดทั้งปีโดยไม่หยุดพักแม้แต่วันเดียว โดยนอนหลับเฉลี่ยเพียงคืนละสี่ชั่วโมงเท่านั้น แต่ละวันผ่านไปกับการต่อสู้อันยากลำบาก

อันโด ได้ตั้งเป้าหมายการพัฒนาผลิตภัณฑ์ไว้ห้าข้อ เป้าหมายแรกและสำคัญที่สุด คือบะหมี่ต้องมีรสชาติอร่อยแบบที่ทานได้ไม่รู้เบื่อ ข้อถัดไป บะหมี่ต้องไม่เน่าเสีย เพื่อให้สามารถเก็บในครัวเรือนได้ นอกจากนี้ ต้องปรุงได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว และต้องมีราคาไม่แพง สุดท้ายคือต้องปลอดภัยและถูกสุขอนามัย

แม้ว่า อันโด จะตั้งเป้าหมายไว้ชัดเจน แต่เนื่องจากเขาเป็นมือใหม่ในการหัดทำเส้นบะหมี่ เขาจึงต้องใช้เวลาวันแล้ววันเล่าในการปรุง และต้องทิ้งตัวอย่างทดลองไปมากมาย ในที่สุด อันโดก็สามารถคิดค้นสูตรที่ดีที่สุด ผ่านการทดลองซ้ำ ๆ ในกระบวนการอันท้าทาย ประสบการณ์นี้ทำให้เขาได้เรียนรู้ว่าผลิตภัณฑ์อาหาร ล้วนเป็นเรื่องของความสมดุล และการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารนั้น เป็นงานที่ต้องอาศัยการลองผิดลองถูกจนกว่าจะค้นพบความสมดุลเพียงหนึ่งเดียวที่สมบูรณ์แบบ

“จะทำอย่างไรให้บะหมี่แห้งเพื่อเก็บรักษาไว้ได้นาน”

“จะทำอย่างไรให้บะหมี่พร้อมรับประทานได้เพียงแค่เติมน้ำร้อน”

ภายในโรงเก็บของ

บะหมี่รสไก่ในช่วงที่เปิดตัวครั้งแรก

โฆษณาทางโทรทัศน์ยุคแรก

การหาความลงตัวระหว่างการเก็บรักษาและความสะดวกในการทาน เป็นอุปสรรคสูงสุดที่อันโดต้องเผชิญในการพัฒนาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป วันหนึ่ง อันโด เดินเข้าไปในครัวขณะที่ภรรยาของเขากำลังทอดเทมปุระอยู่ เขาสังเกตเห็นว่าแป้งชุบเมื่อใส่ลงในน้ำมันร้อนจัดแล้วจะคายความชื้นออกมา ทำให้เกิดฟองอากาศรอบ ๆ ในกระทะ สิ่งนี้เองคือคำตอบ! อันโด จึงได้นำหลักการของการทอดเทมปุระมาใช้กับเส้นบะหมี่ เขาลองทอดเส้นบะหมี่ลงในน้ำมันทันที และพบว่าความชื้นในเส้นบะหมี่ถูกขับออกมาด้วยน้ำมันอุณหภูมิสูง เส้นบะหมี่ซึ่งแทบจะแห้งสนิทแล้ว กลับไม่เสื่อมสภาพหรือเน่าเสียแม้จะเก็บไว้นาน อันโด ยังเข้าใจว่าวิธีการผลิตนี้จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องความสะดวกในการทานอีกด้วย เพราะน้ำร้อนที่เทลงบนเส้นบะหมี่จะดูดซึมผ่านโพรงเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นในขั้นตอนขจัดความชื้น และแทรกซึมไปทั่วทั้งบะหมี่ ทำให้เส้นกลับมานุ่มดังเดิม

ด้วยวิธีการนี้ อันโด จึงค้นพบแนวทางที่นำไปสู่เทคโนโลยีการผลิตที่เป็นรากฐานของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป นั่นคือ การทอดแบบเร่งด่วนด้วยความร้อนสูง (flash-frying) เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ปี 1958 บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชนิดแรกของโลก ราเม็งรสไก่ (Chicken Ramen) ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น เนื่องจาก ราเม็งรสไก่ เป็นอาหารที่พร้อมรับประทานได้แค่เติมน้ำร้อนเพียงสองนาที ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่เหนือความคาดหมายตามภูมิปัญญาดั้งเดิมในยุคนั้น จึงได้รับการขนานนามว่า “ราเม็งมหัศจรรย์”

เมื่อ ราเม็งรสไก่ เปิดตัวเป็นครั้งแรก โดยราคาอยู่ที่ 35 เยนต่อหนึ่งซอง ทว่าในช้วงก้อนบะหมี่อุด้งมีราคาแค่ 6 เยน ผู้ค้าส่งต่างยังคงลังเลที่จะรับซื้อสินค้าไว้ เนื่องจากไม่เชื่อว่าจะขายได้ อย่างไรก็ตาม ราเม็งรสไก่ เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังมากขึ้นในหมู่ผู้ที่ได้ลองทานจริงว่าทั้งอร่อยและสะดวก ไม่นานหลังจากนั้น บรรดาร้านขายส่งก็มีรายการสั่งซื้อเข้ามามากมาย ในที่สุด ราเม็งรสไก่ ก็กลายเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม จนถึงขั้นมีรถบรรทุกจากร้านขายส่งจำนวนมากต่อแถวหน้าโรงงานเพื่อรอรับสินค้าออกจากสายการผลิต

ราเม็งรสไก่ เริ่มวางจำหน่ายในช่วงเวลาที่ครอบครัวที่มีรายได้สองทางและครอบครัวเดี่ยวในญี่ปุ่นเริ่มมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ปรุงได้ง่ายเพียงแค่เติมน้ำร้อนแถมยังเก็บไว้ได้นาน กลายเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับแม่บ้าน นอกจากนี้ ซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งแรกในประเทศญี่ปุ่นยังสร้างขึ้นหนึ่งปีก่อนการเปิดตัว ราเม็งรสไก่ การนำระบบการกระจายสินค้าแบบตะวันตกเข้ามา ซึ่งแตกต่างจากรูปแบบการจัดจำหน่ายแบบเดิมโดยสิ้นเชิง ได้เปิดช่องทางการขายอาหารแปรรูปจำนวนมาก รวมไปถึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป นอกจากนี้ ยังเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่สื่อโทรทัศน์เริ่มเป็นที่สนใจของประชาชน แม้ว่าในสมัยนั้น อิทธิพลของโทรทัศน์ในฐานะสื่อยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่อันโดก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็วที่จะเป็นสปอนเซอร์ให้กับรายการโทรทัศน์และผลิตโฆษณา เมื่อสื่อโทรทัศน์ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ราเม็งรสไก่ ก็กลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง

การค้นพบแนวคิดที่นำไปสู่การสร้างบะหมี่ถ้วยในระหว่างการตรวจงานต่างประเทศ 

อันโด ต้องการเผยแพร่ บะหมี่รสไก่  ไปทั่วโลก ในปี 1966 เขาได้เดินทางไปตรวจงานที่ยุโรปและสหรัฐอเมริกา ในระหว่างการเยี่ยมผู้จัดซื้อของเครือห้างสรรพสินค้าในสหรัฐอเมริกา เขาสังเกตเห็นผู้จัดการในออฟฟิศหักแบ่ง บะหมี่รสไก่ เป็นก้อน ๆ โดยใส่ก้อนบะหมี่ลงในถ้วยกระดาษ เติมน้ำร้อน และใช้ส้อมรับประทาน เมื่อพวกเขาทานเสร็จก็ทิ้งถ้วยลงในถังขยะ อันโดจึงตระหนักได้ว่าการให้ความสำคัญกับนิสัยการกินที่แตกต่างกัน จะเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกลายเป็นอาหารระดับโลก ประสบการณ์นี้ทำให้ อันโด เกิดแนวคิดที่นำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ นั่นคือ บะหมี่ถ้วยที่สามารถรับประทานด้วยส้อม

สายการผลิตที่นำแนวคิดสวนกระแสของอันโดมาใช้ 

อันโดกับบะหมี่ถ้วยสำเร็จรูป คัพนูดเดิล 

การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เริ่มต้นจากการเตรียมบรรจุภัณฑ์ โดยภาชนะที่ อันโด คิดไว้จะต้องมีขนาดและรูปทรงที่เหมาะสำหรับถือด้วยมือข้างเดียว หลังจากที่ผลิตและพิจารณาบรรจุภัณฑ์ต้นแบบเกือบสี่สิบแบบ ภาชนะที่มีลักษณะคล้ายถ้วยกระดาษขนาดใหญ่ก็ได้รับเลือกนำมาใช้ วัสดุที่เลือกใช้สำหรับภาชนะบรรจุคือ โฟมพอลิสไตรีน ซึ่งมีน้ำหนักเบา ให้การป้องกันความร้อนได้ดี และมีความคุ้มค่าสูง แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงนั้นวัสดุนี้ยังคงหายากในญี่ปุ่น และการแปรรูปเป็นแผ่นบาง รวมถึงการขึ้นรูปเป็นภาชนะที่พอดีมือก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้น อันโดจึงได้นำเทคโนโลยีจากอเมริกาเข้ามาใช้ และเริ่มดำเนินแผนงานผลิตบรรจุภัณฑ์ภายในองค์กร แม้ว่าจะใช้เวลานานในการปรับปรุงคุณภาพเพื่อให้ได้ภาชนะที่ไร้กลิ่นและเหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์อาหาร แต่ในที่สุดก็มีการพัฒนาถ้วยบรรจุภัณฑ์ซึ่งมีคุณภาพได้มาตรฐานขององค์การอาหารและยาสหรัฐของอเมริกา (FDA) จนสำเร็จ

ถึงแม้ว่าการพัฒนาถ้วยจะสำเร็จแล้วก็ตาม แต่การบรรจุบะหมี่ลงในถ้วยกลับเป็นอีกปัญหาที่ยากในการทำ เนื่องจากปากถ้วยนั้นกว้างและมีก้นแคบ การจพบรรจุลงไปได้นั้น ก้อนบะหมี่จะต้องเล็กกว่าตัวถ้วย แต่ข้อเสียก็คือ บะหมี่อาจถูกเขย่าไปมาในระหว่างการขนส่ง จนแตกหักภายในถ้วยได้ ดังนั้น อันโดจึงคิดค้นการทำก้อนบะหมี่ให้ใหญ่กว่าก้นถ้วยและอัดไว้ที่ตรงกลางถ้วย เรียกว่า “การบรรจุตรงกลาง” (middle retention) แต่ เมื่อมีการนำเส้นใส่เข้าไปจริง ๆ ถ้วยก็จะเอียงหรือล้มคว่ำ ปัญหานี้เป็นเรื่องที่อันโดขบคิดถึงเรื่อยมา จนกระทั่ง คืนหนึ่งหลังจากที่เขาเข้านอน เพดานห้องก็ดูเหมือนหมุนวนทันทีที่เขาเกิดความคิดหนึ่งแวบขึ้น คำตอบไม่ใช่การใส่ก้อนบะหมี่ลงไปในถ้วย ทว่า เป็นการคว่ำก้อนบะหมี่ลง แล้วครอบด้วยถ้วยจากด้านบนแทน แนวคิดที่สวนทางนี้ทำให้การบรรจุบะหมี่ลงในถ้วยทำได้อย่างแม่นยำ และกรุยทางไปสู่การผลิตในโรงงานในปริมาณมหาศาล

กิจกรรมการขายสินค้าตัวอย่างในเขตถนนคนเดินย่านกินซ่า 

บะหมี่ถ้วย เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผสมผสานความคิดสร้างสรรค์และสิ่งประดิษฐ์อัจฉริยะในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นฝา ส่วนผสม และวิธีการทอดบะหมี่

อันโดเคยกล่าวว่า “ความมุ่งมั่นคือแหล่งกำเนิดของแรงบันดาลใจ” และเขาไม่เพียงแต่นำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เท่านั้น แต่ยังคิดค้นวิธีการใหม่ ๆ เพื่อแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง กระบวนการนี้ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่มีชื่อว่า คัพ นูดเดิล (บะหมี่ถ้วย) เพื่อให้เข้าใจง่ายในสากล โดยเปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 18 กันยายน ปี 1971

ตู้ขายสินค้าอัตโนมัติที่จ่ายน้ำร้อนโดยเฉพาะ 

หน่วยปราบจลาจลกำลังรับประทานบะหมี่ถ้วย (ภาพถ่ายโดยบริษัท บุงเกอิชุนจู จำกัด) 

เนื่องจาก บะหมี่ถ้วย มีราคาสูงถึงถ้วยละ 100 เยน ในขณะที่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบซองมีราคาเพียง 25 เยน อีกทั้งการยืนทานอาหารก็ถูกมองว่าไม่สุภาพ ทำให้เหล่าผู้ค้าต่างลังเลที่จะนำมาวางจำหน่าย ดังนั้น อันโด จึงตัดสินใจให้บริษัทเปิดช่องทางการขายรูปแบบใหม่ รวมทั้งโฆษณาและทำแผนโปรโมทในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ทางบริษัทได้เตรียมตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติที่จ่ายน้ำร้อนได้ในตัว เพื่อให้ลูกค้าสามารถปรุงและรับประทาน บะหมี่ถ้วย ได้ทันทีที่ซื้อ ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติแบบใหม่นี้ได้รับความสนใจอย่างมาก และในเวลาเพียงหนึ่งปีก็ได้มีการติดตั้งตู้จำนวน 20,000 เครื่องทั่วประเทศ นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งเน้นไปที่ย่านคนเดินสัญจรในย่านกินซ่า ซึ่งเป็นสถานที่ยอดนิยมที่คนหนุ่มสาวมักมารวมตัวกัน กิจกรรมการขาย บะหมี่ถ้วย โดยทดลองชิมฟรี สามารถดึงดูดฝูงชนได้เกินความคาดหมาย และได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม จนในวันที่ขายดี บริษัทสามารถขายได้สูงถึงจำนวน 20,000 ถ้วยทีเดียว

ต่อมา ก็มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นซึ่งส่งผลต่อความนิยมของ บะหมี่ถ้วย เหตุการณ์นี้คือเหตุการณ์อาซามะ-ซันโซในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1972 ซึ่งออกอากาศไปทั่วประเทศ โดยเป็นเหตุการณ์ที่กลุ่มปฏิวัติติดอาวุธของญี่ปุ่น ถูกปิดล้อมในบ้านพักบนภูเขา เหตุการณ์นี้มีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ทุกวัน และได้มีการแพร่ภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามจลาจลจากกรมตำรวจนครบาลโตเกียว ณ สถานที่เกิดเหตุ ที่กำลังทาน บะหมี่ถ้วย ในระหว่างการปิดล้อมบ้านพักบนภูเขา เหตุการณ์นี้ส่งผลให้เกิดการประชาสัมพันธ์ที่คาดไม่ถึงแก่ผู้ชมทั่วประเทศ และ บะหมี่ถ้วย ก็กลายเป็นสินค้าขายดีจนหมดแผง

บะหมี่ถ้วย ได้เข้าสู่ตลาดสหรัฐในปี 1973 โดยใช้ชื่อว่า คัพ โอ นูดเดิล (Cup O’Noodles) จากนั้น บริษัทได้ตั้งฐานธุรกิจขึ้นอย่างรวดเร็วในบราซิล สิงคโปร์ ฮ่องกง อินเดีย เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี ไทย และประเทศอื่น ๆ บริษัทไม่ได้ส่งออกรสชาติที่ขายในญี่ปุ่น แต่ได้พัฒนาซุป ส่วนผสม และด้านอื่น ๆ โดยปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับความชอบของผู้คนในแต่ละประเทศและภูมิภาค ส่งผลให้ บะหมี่ถ้วย กลายเป็นอาหารระดับโลกที่มีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น

อันโดจับมือกระชับมิตรกับนักบินอวกาศโนกุชิ โซอิจิ

อันโด ยังคงมีไฟในการพัฒนาผลิตภัณฑ์แม้ในช่วงวัยเกษียณ เมื่ออายุ 91 ปี เขาได้ประกาศว่าบริษัทจะพัฒนาอาหารอวกาศ โดยเขาได้จัดตั้งทีมโครงการที่เขารับหน้าที่เป็นหัวเรือใหญ่ และเริ่มต้นพัฒนา ทีมงานได้พัฒนาสเปซแรม (Space Ram) บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสำหรับบริโภคในอวกาศ ซึ่งคิดค้นโดยไอเดียอัจฉริยะ เช่น การทำให้ซุปข้นขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้ลอยออกไปในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วง และการทำบะหมี่ให้มีขนาดและรูปทรงที่รับประทานได้ในคำเดียว แต่ในที่สุด เทคโนโลยีที่เป็นรากฐานของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ก็คือกระบวนการทอดแบบเร่งด่วนด้วยความร้อนสูงที่อันโดได้ค้นพบในปี 1958 โครงการ สเปซแรม แสดงให้เห็นว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นอาหารชั้นยอดที่ตอบสนองต่อความต้องการ ตั้งแต่ในสมัยที่มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์จนกระทั่งเข้าสู่ยุคอวกาศ 

นักบินอวกาศโนกุชิ โซอิจิ เพลินกับการทานสเปซแรมบนสถานีอวกาศ (@NASA/JAXA) 

สเปซแรม เดินทางสู่อวกาศในเดือนกรกฎาคมปี 2005 โดยขึ้นโดยสารไปกับกระสวยอวกาศดิสคัฟเวอรี นักบินอวกาศ โนกุชิ โซอิจิ เป็นมนุษย์คนแรกที่รับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในอวกาศ เขาได้รายงานการถ่ายทอดสดจากสถานีอวกาศนานาชาติว่า รสชาติของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เคยทานบนโลก มีการแปรสภาพใหม่ได้อย่างน่าทึ่ง อันโด ผู้ทำให้ความฝันอันยาวนานกลายเป็นจริงในวัย 95 ปี กล่าวว่า “ไม่มีคำว่าสายเกินไปในชีวิต” แรงใจในการสร้างสรรค์อาหารใหม่ ๆ ของเขา ในที่สุดก็ทะยานออกสู่นอกโลกและแผ่ขยายไปสู่ห้วงอวกาศ 

ในเดือนมกราคมปี 2007 อันโดได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อพนักงานที่มารวมตัวกันในพิธีเปิดงานประจำปี และได้เริ่มทำงานตั้งแต่ต้นปีอย่างแข็งขัน แต่กระนั้น เาได้ล้มป่วยลงในช่วงเช้ามืดของวันที่ 5 มกราคม และถึงแก่กรรมด้วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน แม้จะเสียชีวิตโดยกะทันหัน แต่เขาก็ได้ทำตามเจตจำนงที่จะ “ใช้ชีวิตและจากไปโดยมีสุขภาพสมบูรณ์” ข่าวการเสียชีวิตของอันโดมีการเผยแพร่ไปทั่วโลก และในบทบรรณาธิการของ เดอะนิวยอร์กไทมส์ ได้แสดงการสรรเสริญต่อความสำเร็จของ “มิสเตอร์นูดเดิลส์”

อันโด โมโมฟูกุ เป็นผู้ประดิษฐ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการทานอาหารไปทั่วโลก ครึ่งศตวรรษหลังจากที่ อันโด ให้กำเนิด บะหมี่รสไก่ ขึ้นบนโลก ความต้องการบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็พุ่งเกินหนึ่งพันล้านมื้อทั่วโลก จิตวิญญาณของอันโด ซึ่งยังคงมีความคิดสร้างสรรค์และความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อตราบจนถึงวาระสุดท้ายในวัย 96 ปี ยังคงสืบทอดต่อมาจนถึงทุกวันนี้โดยกลุ่มบริษัท นิสชินฟูดส์